วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

รองเท้า Onitsuka รุ่น Tiger

 รองเท้า Onitsuka รุ่น Tiger  ราคา 650.บาท

📮 สินค้า ส่งฟรีลงทะเบียน  , 📮 ส่ง EMS เพิ่ม 50฿📌

📣📣สอบถาม/สั่งซื้อ รบกวนทักแชทมานะคะ

💥 LINE : @lyxiaoyao19 เติม@ด้วยน้า Tel.081-248-3113























รองเท้าผ้าใบ Adidas

รองเท้าผ้าใบ Adidas
Price 590 ฿.

📮 สินค้า ส่งฟรีลงทะเบียน  , 📮 ส่ง EMS เพิ่ม 50฿📌
📣📣สอบถาม/สั่งซื้อ รบกวนทักแชทมานะคะ
💥 LINE : @lyxiaoyao19 เติม@ด้วยน้า Tel.081-248-3113



📢 อาจใช้เวลา 1-2 วันในการจัดส่ง
📢 สั่งสินค้า แค๊ปหน้าราคาสินค้ามาด้วยนะคะ
📢 สนใจตัวแทนจำหน่ายแจ้งมาได้คะ





วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

sassy sisters 💄ลิปแมท

~ ~ ~ สีสวย เม็ดสีแน่น กันน้ำ ไม่ลอก ไม่หลุด ~ ~ ~
ปังเบอร์แรง แค่ 190 บาท สวยได้ทุกลุค 15 เฉดสี
#HOT สุด‼️ 🔥🔥 3 แท่ง 500 ไปเลย 💋💋
❤️สนใจสินค้า หรือสมัครตัวแทนจำหน่าย
ติดต่อสอบถาม┆สั่งซื้อ┆062-103-4035 

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ข่าวดี คุณแม่คลอดบุตร ไม่เกิน 3 ขวบ รับเงินจากรัฐ 600 บาท


ข่าวดีสำหรับคุณแม่ที่พึ่งคลอดลูกในปี 2558-2561 นั้นจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐเดือนละ 600 บาท แน่นอนค่ะ อย่างที่เพื่อนๆทราบกันดีอยู่แล้ว เงินนี้จะได้รับตั้งแต่ลูกแรกเกิน จนถึง 3 ขวบกันเลยทีเดียวค่ะ ใครที่สนใจสามารถไปติดต่อได้ที่ สำนักเขต หรือ อำเภอที่เกิดได้เลยค่ะ ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กันยายน 2561 ผู้ที่ลงทะเบียนในโครงการนี้ จะได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด จำนวน 600 บาทต่อเดือน โดยสามารถรับเงินด้วยตนเองได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด(พมจ.) หรือ กรรมกิจการเด็กและเยาวชน(ดย.) หรือนับผ่านบัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนไว้ อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่คลอดบุตรหลังจากช่วงที่กำลังคือ วันที่ 30 กันยายน 2561 หรือเด็กเสียชีวิตระหว่างอยู่ในครรภ์ จะไม่ได้รับเงินในส่วนนี้นั่นเองค่ะ ยังไงไปดูข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างนี้เลยค่ะ
ก่อนหน้านี้ ครงการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด เคยเปิดให้ลงทะเบียนมาแล้ว 2 รอบ คือ ปีงบประมาณ 2559 ให้กับเด็กที่เกิดระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2558-30 กันยายน 2559 และปีงบประมาณ 2560 ให้กับเด็กที่เกิดระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2559-30 กันยายน 25560 อย่างไรก็ดี หากใครที่พึ่งรู้ตัวว่าตัวเองมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุน และยังไม่เคยไปลงทะเบียน สามารถติดต่อลงทะเบียนย้อนหลังได้ จะได้รับเงินอุดหนุ้นตั้งแต่เดือนที่ลงทะเบียนไปจนถึงอายุ 3 ขวบเท่านั้น จะไม่มีการจ่ายย้อนหลังให้ตั้งแต่เดือนที่เกิด ใครที่เคยไปลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ปีงบประมาณ 2559 หรือ 2560 ไปแล้ว จะถือว่าเป็นผู้ขอรับสิทธิ์แล้ว ยังคงได้รับเงินอุดหนุน 600 บาทต่อเดือน จนเด็กมีอายุถึง ขวบเหมือนเดิม โดยไม่ต้องไปลงทะเบียนรอบใหม่ในปีต่อๆไป
เอกสารที่ใช้ในการลงทะเบียน รับเงินอุดหนุน
1.แบบลงทะเบียน (ดร.01)
2.แบบรับรองสถานะครัวเรือน(ดร.02) ที่ได้รับการรับรองแล้วจากบุคคล 2 คนคือ ผู้รับรองคนที่ 1
-กรุงเทพมหานคร : ประธานกรรมการชุมชน หรือหัวหน้าฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคมประจำสำนักงานเขต
-เมืองพัทยา : ประทานชุมชน หรืออาสามัครสาธารณสุขเมืองพัทยา
-เทศบาล หรือ องค์การบริหารส่วนตำบล : อพม. หรือ อสม.
-บ้านพักเด็กและครอบครัว หรือ สถานสงเคราะห์ของรัฐ : เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว หรือ เจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์
หลังจากยื่นเอกสารขอลงทะเบียนแล้ว จะมีการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ฯ สำนักงานเขตหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เราเคยลงทะเบียนไว้ โดยจะติดป้ายประกาศเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านการพิจารณานั้น ทางจุดลงทะเบียนจะมีการแจ้งผลให้ทราบอีกต่อไป
โดยผู้มีสิทธิ์ จะได้รับเงินในวันที่ 10 ของทุกเดือน (ยกเว้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 จะจ่ายให้วันที่ 12-13 กุมภาพันธ์) ซึ่งหากยังไม่ได้รับเงินภายในช่วงเวลาที่กำหนด สามารถแจ้งรองเรียนได้ที่สำนักงานเขต หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เคยลงทะเบียนไว้ หรือโทร. ไปสอบถามที่ศูนย์ปฎิบัติการโครงการอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 02-306-8697 , 02-306-8694 หรือ Call center 081-883-3520 , 098-010-9525 , 089-883-4195
หากคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วปรากฏว่าคลอดออกมาเป็นลูกแฝด จะได้รับเงินอุดหนุนตามจำนวนเด็กที่เกิดมาเลย คือ ถามคลอดบุตร 2 คน ก็จะได้รับเงินอุดหนุน 1,200 บาทต่อเดือน หรือ 3 คน ก็จะได้ 1,800 บาทต่อเดือน


วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

การบริโภคโซดาทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนจริงหรือ ?

การบริโภคโซดาทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนจริงหรือ ?




 โซดาในความหมายของคนไทย คือ น้ำเปล่าอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (คำว่า Soda สำหรับคนต่างชาติเค้าจะหมายถึง น้ำอัดลมทุกประเภท ตั้งแต่ โค้ก เป๊ปซี่ โซดาที่ใช้กินกับเหล้า น้ำแร่อัดลม น้ำเขียว น้ำแดง น้ำส้ม และอื่นๆอีก) ผู้เขียนเชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ข่าวเกียวกับการบริโภคน้ำอัดลมสีดำ แล้วมีผลทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน ก็เลยอยากจะทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า “โซดา” ที่เป็นน้ำอัดลมชนิดหนึ่ง มีผลต่อแคลเซียมในร่างกายและเพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนหริอไม่ ใช่ไหมครับ ?

โซดาคืออะไร ?

โซดาในความหมายของคนไทย คือ น้ำเปล่าที่ถูกอัดด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นิยมใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มชนิดต่างๆหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ การบริโภคโซดาในประเทศไทยส่วนมากจึงอยู่ในกลุ่มของลูกค้าที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นส่วนใหญ่
โซดาในภาษาอังกฤษมีหลายคำมาก เช่น
  • Soda Water
  • Carbonated Water
  • Fizzy Water
  • Sparking Water
โซดาปกติไม่มีรสชาติ แต่จะมีความซ่า ผู้ผลิตหลายยี่ห้อก็เลยมีความคิดสร้างสรรค์ในการเติมกลิ่นหรือรสผลไม้เข้าไป เพื่อให้มีรสชาติที่ดีขึ้น แต่การเติมจะทำเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ได้รสสัมผัสเวลาดื่มนิดหน่อยเท่านั้น คนส่วนมากบริโภคโซดาเพราะโซดาช่วยทำให้รสชาติของเครื่องดื่มดีขึ้น ดื่มแล้วรู้สึกอร่อยและสดชื่น

คุณสมบัติของโซดา

ผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า “โซดา” ในความหมายของคนไทย จะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
  • โซดามีความเป็นกรดอ่อนๆมีค่าความเป็นกรดด่างหรือค่า pH ประมาณ 5-6 (7 คือ เป็นกลาง ต่ำกว่า 7 เป็นกรด มากกว่า 7 เป็นด่าง)
  • กรดที่อยู่ในโซดา คือ กรดคาร์บอนิก เกิดจากการทำปฏิกิริยาของน้ำกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
  • โซดาผลิตจากส่วนผสม 2 ชนิด คือ น้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
  • โซดาไม่มีกรดฟอสฟอริก
  • โซดาไม่มีคาเฟอีน

การบริโภคโซดาเพิ่มความเสี่ยงภาวะกระดูกพรุนหรือไม่ ?

สืบเนื่องจากการบริโภคน้ำอัดลมสีดำเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน โซดาซึ่งเป็นน้ำอัดลมชนิดหนึ่งจึงต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยในกรณีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายท่านที่บริโภคโซดากันเป็นประจำเลยเกิดคำถามว่า “การบริโภคโซดามีผลทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมและมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนหรือไม่ ?” เรามาไขข้อข้องใจกันครับ
หากเราได้ทราบถึงคุณสมบัติของโซดาจะพบว่า “โซดาไม่มีกรดฟอสฟอริกและคาเฟอีน” ซึ่งเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อแคลเซียมและกระดูก งานวิจัยที่ทดลองเกี่ยวกับโซดาอย่างจริงๆจังๆมีอยู่ไม่มากนัก แต่จากที่ผู้เขียนได้ศึกษามาก็พบว่า ยังไม่พบว่าการบริโภคโซดาจะส่งผลให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม จนเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกแตกหักได้ (การบริโภคโซดาจึงดูเหมือนว่าจะปลอดภัย ณ เวลานี้)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการบริโภคโซดาจะยังถือว่าปลอดภัยต่อกระดูก ณ เวลานี้ แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่ทราบ คือ เนื่องจากโซดามีความเป็นกรดอ่อนๆ ผู้บริโภคโซดาเป็นประจำเลยมีคำถามต่ออีกว่า “แล้วการบริโภคโซดาเป็นประจำจะทำลายเคลือบฟันและทำให้ฟันผุกร่อนหรือไม่ ?”
อีกครั้งที่คำถามนำมาสู่การหาคำตอบด้วยการทดลอง คล้ายกับการทดลองกับน้ำอัดลมสีดำ คือ มีการนำฟันของมนุษย์จริงๆไปแช่ไว้ โซดา เป็นเวลา 3 วัน ผลที่ได้ คือ เคลือบฟันยังอยู่และปกติดี ต่างจากการแช่ฟันลงในน้ำอัดลมสีดำ ซึ่งผลที่ได้ตรงกันข้าม คือ เคลือบฟันถูกทำลาย หลายคนอาจมองว่าการทดลองแบบนี้ไม่เหมือนของจริง ใครจะอมโซดาหรืออมน้ำอัดลมไว้ในปากนานเป็นวันได้ จริงอยู่ที่การทดลองอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงในการบริโภคน้ำอัดลมมากนัก แต่อย่างน้อยการทดลองเหล่านี้ก็ให้แนวทางว่า การบริโภคน้ำอัดลมสีดำเป็นประจำ เป็นอันตรายต่อสารเคลือบฟันค่อนข้างแน่นอน
ถึงตรงนี้หลายท่านที่นิยมบริโภคโซดาอาจมีเฮ เพราะ ณ เวลานี้การดื่มโซดายังถือว่าปลอดภัยต่อกระดูกและฟัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่บริโภคโซดากับสุรา ซึ่งบางท่านแถมพ่วงด้วยการสูบบุหรี่ด้วย ก็ยังไม่รอดจากความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน เพราะว่าแอลกอฮอล์และบุหรี่นั่นแหละ ที่เป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม และมีความเสี่ยงจะป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนได้ในอนาคต

สรุป

แม้การบริโภคโซดาจะปลอดภัย แต่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่า น้ำที่ดีต่อร่างกายของคนเรามากที่สุด คือ น้ำเปล่าธรรมดา เพราะไม่มีการแต่งเติมหรือใส่ก๊าซชนิดใดลงไปในน้ำ การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเป็นหลักสากลที่การแพทย์ทุกแขนงยอมรับ เราจึงต้องให้ความสำคัญมากกว่าการดื่มโซดา ซึ่งมีการอัดลมเข้าไปเพื่อความอร่อย ยังไม่มีงานวัจัยใดที่รองรับว่า การบริโภคโซดาดีกว่าการดื่มน้ำเปล่า ดังนั้น “การดื่มน้ำเปล่าเป็นหลัก ดื่มโซดาเป็นบางครั้ง” น่าจะเป็นทางออกที่ดีและสร้างความสมดุลให้กับร่างกายได้มากที่สุด
ขอคุณข้อมูลดีๆ จาก http://boneandjointnopain.com 

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วัดเขาพระอังคาร จ.บุรีรัมย์

วัดเขาพระอังคาร  
                          เป็นวัดที่มีวัตถุธรรมความสวยงามของวัดพุทธศิลป์สร้างมานานในยุคที่ขอมเรืองอำนาจความสวยงามของวัดพุทธศิลป์ผสมศิลป์ขอม  แนวเดียวกันกับปราสาทหินเขาพนมรุ้ง  ส่วนสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างที่เห็นในวัดปัจจุบัน  ส่วนใหญ่สร้างใหม่ทับของเก่า   มีโบสถ์ที่ประยุกต์จากสถาปัตยกรรมหลายสมัย ดูสวยงามแปลกตา เป็นวัดที่สวยงามใหญ่โตแห่งหนึ่งของบุรีรัมย์ มีโบสถ์ ศาลา และอาคารต่างๆ
                         ลักษณะเด่น  เป็นวัดที่สร้างเลียนแบบสถาปัตยกรรมสมัยต่างๆ หลายรูปแบบงดงาม แปลกตาและน่าสนใจยิ่ง ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังและเรื่องราวพุทธชาดกเป็นภาษาอังกฤษด้วย บริเวณวัดเป็นปากปล่องภูเขาไฟคาดว่าเคยเป็นที่ตั้งของโบราณสถานสมัยทวารวดีเพราะเสมาหินแกะสลักสมัยดังกล่าวหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก  วัตถุธรรมความสวยงามของวัดเขาพระอังคาร  ด้านพุทธศิลป์เน้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สร้างศรัทธาต่อผู้มาเยือน  ได้แก่   ๑. โบสถ์ 3 ยอด สวยงามแปลกตา  แตกต่างจากโบสถ์วัดทั่วไป  โบสถ์ทรงแปลก ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์  และโบสถ์ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพุทธชาดกเป็นภาษาอังกฤษ ๒. ใบเสมาพันปี  ศาสนสถานและโบราณวัตถุอันล้ำค่า มีใบเสมา 8 คู่ ตั้งอยู่ 8 ทิศอย่างองอาจ  ๓.  พระพิฆเนศงาเดียว   ๔. พระพุทธ 109 องค์
๕. พระตำหนักศักดิ์สิทธิ์
๖. เทวรูปเจ้าเมืองขอม
๗.  พระปางนาคปรกนอกโบสถ์
๘. รอยพระพุทธบาทจำลอง  มีรอยพระพุทธบาทจำลองปรากฏชัด สันนิษฐานว่าโบราณวัตถุเหล่านี้น่าจะสร้างในยุคเดียวกับปราสาทหินพนมรุ้ง หรือมากกว่า 2,000 ปี
๙. พระคันธารราษฎร์
๑๐. พระนอนกลางแจ้ง
๑๑. ปล่องภูเขาไฟ
๑๒. ถ้ำกรรมฐาน
สิ่งที่โดดเด่นคือประติมากรรมการก่อสร้างโบสถ์ ศาลา และอาคาร เลียนแบบสถาปัตยกรรมสมัยต่างๆ หลายรูปแบบและลักษณะเด่นตั้งอบู่บนเขาอังคารเป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วอีกลูกหนึ่งในบุรีรัมย์ มีเส้นทางศึกษาเรียนประเด็นใหม่นอกจากประเด็นวัดพุทธศิลป์  สามารถศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างปราสาท  เนื่องจากห่างจากปราสาทพนมรุ้ง 20 กิโลเมตร โดยลงมาจากพนมรุ้ง ถึงบ้านตาเป็กแล้วเลี้ยวซ้ายมาตามทางที่จะไปละหานทรายประมาณ 13 กิโลเมตรแล้วเลี้ยวขวาเข้าทางลูกรังอีกประมาณ 7 กิโลเมตรพบโบราณสถานเก่าแก่ และใบเสมาหินทรายสมัยทวารวดีสำคัญหลายชิ้น
ความเป็นมาของภูเขาพระอังคาร
ภูเขาพระอังคาร เดิมชื่อ ภูเขาลอย เหตุที่เรียกว่าภูเขาพระอังคาร เพราะตามประวัติลายแทงธาตุพนม กล่าวไว้ว่า เมื่อ พ.ศ. 8  ได้มีพญาทั้ง 5 ได้นำพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าไปบรรจุที่พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม โดยมีพระมหากัสสปะเถระและพระอรหันต์ 500 องค์ เป็นประธาน อีกพวกหนึ่งได้นำพระอังคารธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานบรรจุไว้บนภูเขาลอย
ตามประวัติว่าตามที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานแล้วที่เมืองกุสินารา หลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว โทณพราหมณ์ได้แจกพระธาตุไป 8 พระนครแล้ว อยู่มามีเมือง ๆ หนึ่งไปขอพระธาตุทีหลังเขาพอดีพระธาตุได้แจกไปหมดแล้ว โทณพราห์มจึงเอาทะนานทองตวงเอาธาตุพระอังคาร (ขี้เถ้า) ให้มา  เมื่อได้พระอังคารธาตุจึงได้เดินทางกลับมาทางทิศอิสานใต้ พอถึงภูเขาลูกนึงคือภูเขาลอย มีรูปลักษณะสวยงามรูปร่างเหมือนรูปพญาครุฑนอนคว่ำหน้า จึงมีความคิดว่าน่าจะนำพระอังคารธาตุบรรจุไว้ที่แห่งนี้  เมื่อลงความเห็นเป็นอันเดียวกันแล้ว  จึงได้สร้างสถานที่บรรจุพระอังคารธาตุไว้ที่ไหล่ข้างซ้ายของพญาครุฑและเปลี่ยนชื่อภูเขาลอยเป็นภูเขาพระอังคาร ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา




ที่ตั้ง 
วัดเขาพระอังคาร  บ้านเจริญสุข ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ เป็นวัดที่สร้าง     มานานในยุคที่ขอมเรืองอำนาจแถวนี้  น่าจะสร้างในยุคเดียวกันกับปราสาทหินเขาพนมรุ้ง
ส่วนสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างที่เห็นในวัดปัจจุบัน  ส่วนใหญ่สร้างใหม่ทับของเก่า  ตัววัดตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 3 ก.ม.  ตั้งอยู่บนยอดเขาพระอังคารซึ่งสูงประมาณ 320 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีโบสถ์ที่ประยุกต์จากสถาปัตยกรรมหลายสมัย ดูสวยงามแปลกตา เป็นวัดที่สวยงามใหญ่โตแห่งหนึ่งของบุรีรัมย์ มีโบสถ์ ศาลา และอาคารต่างๆ
เป็นวัดที่สร้างเลียนแบบสถาปัตยกรรมสมัยต่างๆ หลายรูปแบบงดงาม แปลกตาและน่าสนใจยิ่ง ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังและเรื่องราวพุทธชาดกเป็นภาษาอังกฤษด้วย บริเวณวัดเป็นปากปล่องภูเขาไฟคาดว่าเคยเป็นที่ตั้งของโบราณสถานสมัยทวารวดีเพราะเสมาหินแกะสลักสมัยดังกล่าวหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก
เขาอังคารเป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วอีกลูกหนึ่งในบุรีรัมย์ อยู่ในเขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ห่างจากปราสาทพนมรุ้ง 20 กิโลเมตร โดยลงมาจากพนมรุ้ง ถึงบ้านตาเป็กแล้วเลี้ยวซ้ายมาตามทางที่จะไปละหานทรายประมาณ 13 กิโลเมตรแล้วเลี้ยวขวาเข้าทางลูกรังอีกประมาณ 7 กิโลเมตรพบโบราณสถานเก่าแก่ และใบเสมาหินทรายสมัยทวารวดีสำคัญหลายชิ้น

ลักษณะทั่วไป   
                  ลักษณะทั่วไปภูเขาพระอังคารเขาพระอังคารเป็นประเภทเนินลาวาบซอลท์ปากกรวยภูเขา เกิดจากการประทุของภูเขาไฟ มีปากปล่องใหญ่อยู่ที่เขากระดูก และมีปากปล่องเล็กอีกหลายแห่ง การประทุของภูเขาไฟเกิดขึ้นในยุคควอเทอร์นารีหรือประมาณ 700,000 ปีมาแล้ว ซากภูเขาไฟถ้ามองระยะไกลจะมีลักษณะเป็นเนินเขาแผ่กว้างเป็นแนวยาวเหนือใต้ ถ้ามองจากที่สูงจะเห็นเป็นรูปคล้ายพญาครุฑที่กำลังกระพือปีกหรือคว่ำหน้า หันหัวไปทางทิศใต้มีขุนเขาเขียวขจี คือหมู่บ้าน ถาวร อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนที่ลำตัวที่ต้นปีกซ้ายคือที่โบราณวัตถุและพระอังคารธาตุของพระพุทธเจ้า มีปีกซ้ายเป็นเนินเขายื่นไปทางทิศตะวันออก คือหมู่บ้านเจริญสุข  อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์  ส่วนหางยื่นไปทางทิศเหนือทางบ้านสวายสอ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ภูเขาพระอังคารมียอดสูง 331 เมตร จากระดับน้ำทะเล ปกคลุมพื้นที่ประมาณ 90 ตารางกิโลเมตร

ความสำคัญของภูเขาพระอังคาร
                        เป็นแหล่งศึกษาด้านธรณีวิทยาเกี่ยวกับภูเขาไฟและมีความสำคัญเกี่ยวกับโบราณคดี ยังมีทรัพยากรหินที่สำคัญ ทรัพยากรป่าไม้หลากหลายพันธุ์ รวมทั้งยังเป็นแหล่งศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ   ศาสนา และวิวัฒนาการในการสร้างศาสนสถานด้วยน้ำมือมนุษย์อย่างแท้จริง ในสมัยโบราณของบรรพบุรุษของชาวอิสานใต้

โบราณสถาน
                วัดเขาพระอังคาร  ตั้งอยู่บนเขาพระอังคาร  บ้านสายบัว  หมู่ที่  14  ตำบลเจริญสุข  อำเภอเฉลิมพระเกียรติ  จังหวัดบุรีรัมย์  ใช้ทางหลวงหมายเชย  24  ตรงไปจนถึงสามแยกไฟแดงโรงเรียนบ้านตะโก  แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางหมายเลข  2117  ผ่านบ้านดอนหนองแหน  ตรงไปบ้านโคกหัวเสือ  จะพบป้อมยามสามแยกโคกกรวด  (ตู้ยามราษฎรร่วมใจ) ให้เลี้ยวขวา แล้วตรงไปถึงหมู่บ้านเจริญสุข  แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านถนนเจริญสุขรวมมิตรเส้นกลางหมู่บ้านไปประมาณ  5  กิโลเมตรก็จะถึงเขาพระอังคาร


     

ประวัติวัดเขาพระอังคาร
          บนวัดเขาพระอังคารมีโบราณวัตถุศักดิ์สิทธิ์ควรแก่การสักการบูชา  คือพระอังคารธาตุ  รอยพระพุทธบาทจำลอง  ใบเสมาศิลาแลง 8  คู่  8  ทิศ  แผ่นเสมาศิลาแลงแกงสลักเป็นรูปต่าง ๆ รูปเสมาธรรมจักรอันเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา  สร้างเมื่อสมัยใดไม่มีใครทราบ  แต่สันนิษฐานว่าสร้างก่อนปราสาทเขาพนมรุ้ง  ในสมัยที่ขอมเรืองอำนาจและนับถือศาสนาพราหมณ์  อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาถูกอิทธิของศาสนาพราหมณ์เขาครอบครอง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ขาดการทำนุบำรุงรักษาจากผู้คนมานับเป็นพัน ๆ ปี
ต่อมาเมื่อปี  พ.ศ. 2471 หลวงพ่อก้อน ยโสธโร วัดโพธาราม บ้านผักหวาน ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง  ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูโสภณธรรมคุต ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอนางรองได้นำพระภิกษุสามเณรและญาติโยมบ้านผักหวาน มาสร้างศาลาเก็บรอยพระพุทธบาทจำลองเพื่อทำบุญเดือน 6 เป็นประจำทุกปี
พ.ศ. 2494  พระครูโสภณธรรมคุตได้มรณภาพลง  โบราณสถานวัตถุก็ขาการทะนุบำรุง  จะมีแต่ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง  เช่น  บ้านเจริญ  บ้านหนองสะแก  บ้านป่ารังมาทำบุญตักบาตรเพื่อทำพิธีบวงสรวงขอฝนทุกปี
พ.ศ. 2497  หลวงพ่อบุญมา  ธมฺมโชโต  เจ้าอาวาสวัดเจริญสุข ได้นำญาติโยมบ้านเจริญสุขและญาติโยมบ้านใกล้เคียงมาทำถนนขึ้นไปบนเขาพระอังคาร  เพื่อสะดวกในการเดินทางขึ้นไปทำบุญบนเขาพระอังคารในเดือน  10  โดยใช้เกวียนเป็นพาหนะ
พ.ศ. 2500 หลวงพ่อบุญมา ธมฺมโชโต  ได้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมสมถกัมมัฏฐานและวิปัสนากัมมัฏฐาน  ที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ เมื่อกลับมา  รับนิมนต์จากผู้ใหญ่และข้าราชการให้ไปจัดสร้างสำนักปฏิบัติธรรมที่วัดเขากระโดง  จังหวัดบุรีรัมย์  ก่อนไปหลวงพ่อบุญมาได้ทำนายไว้ว่าตัวท่าน     บุญบารมียังน้อย ไม่สามารถจะสร้างเขาพระอังคารให้เจริญรุ่งเรืองได้  ต่อไปจะมีผู้มีบุญบารมีมาสร้างเขาพระอังคารให้เจริญรุ่งเรืองได้  หินก็จะขายได้และจะมีพาหนะยวดยานขึ้นลงมากมาย
หลักจากนั้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนเขาพระอังคารจึงรกร้าง ขาดผู้ดูแลรักษา  ปีหนึ่งจะมีเฉพาะชาวบ้านใกล้เคียงขึ้นไปทำบุญตักบาตร  ทำพิธีบวงสรวงขอฝนปีละครั้ง
พ.ศ. 2520 พระอาจารย์ปัญญา  วุฒิโส  จากสำนักถ้ำผาแดง  จังหวัดอุดรธานี  ได้นั่งปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน  ได้นิมิตเห็นหลวงปู่วิริยะเมฆซึ่งเป็นผู้สำเร็จอรหันต์ ประทับอยู่บนเขาพระอังคารมาอาราธนาท่านให้ไปทำการก่อสร้างปฏิสังขรณ์ปูชนียวัตถุอันล้ำค่า  มีพระอังคารธาตุ  ใบเสมาศิลาแลง 8 คู่ 8 ทิศ และรอยพุทธบาทจำลองเพื่อเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนา  สืบทอดประเพณีของพุทธองค์ให้เจริญรุ่งเรืองให้แล้วเสร็จภายใน  10  ปี
ในเดือนมกราคม  พ.ศ. 2520 พระอาจารย์ปัญญา  วุฒิโส  ได้เดินธุดงค์มายังเขาพระอังคาร  ก็ได้พบเห็นโบราณวัตถุตามที่หลวงปู่วิริยะเมฆนิมิตให้ทุกอย่างจึงได้จัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมเรื่อยมาและมีญาติโยมจากหมู่บ้านใกล้เคียงและต่างจังหวัดมารักษาศีลปฏิบัติธรรมอยู่ประจำเสมอมา
ปัจจุบันเขาพระอังคารได้จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานและโบราณวัตถุของจังหวัดบุรีรัมย์อีกแห่งหนึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชนชาวพุทธและนักเรียนจากโรงเรียน   ต่าง ๆ ได้ไปเข้าค่ายพุทธบุตรที่วัดเขาพระอังคาร  เป็นที่ท่องเที่ยวของอำเภอเฉลิมพระเกียรติเพราะมี สิ่งก่อสร้างประยุกต์หลายสมัยมารวมกันไว้เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา
อุโบสถ
มีการออกแบบโดยนำศิลปะและสถาปัตยกรรมยุคสมัยต่างๆ มาผสมกลมกลืนรูปลักษณ์อุโบสถคล้ายปรางสามยอด  มียอดเจดีย์แต่ละองค์ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม  ลดหลั่นกันไป  กึ่งกลางของฐานแต่ละชั้นทำเป็นชั้นทำเป็นซุ้มเรือนแก้วประดับอย่างสวยงามที่น่าสนใจ  คือมีพระประธานพระพุทธรูปปางมารวิชัย
โบราณวัตถุเก่าแก่และสิ่งก่อสร้างใหม่
  1. ใบเสมาหินแกะสลักรอบอุโบสถทำจากหินศิลาแลง 8 คู่ 8 ทิศ ขนาดสูง 108 ถึง 210 เซนติเมตร  เป็นศิลปะขอมแบบไพรกเม็ง  สันนิษฐานว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่  13-14  เกือบทุกหลักสลักเป็นเทวรูปยืนถือดอกบัว  แต่งกายตามแบบความนิยมของคนในยุคนั้นคือนุ่งผ้าสั้นมีชายพกด้านขวา  เทรูปส่วนใหญ่มีลักษณะไม่สมบูรณ์เพราะถูกขโมยลักลอบสกัดเอาภาพพระพักตร์ออกไป  จึงได้ใช้ปูนปั้นพอกซ่อมแซมไว้แต่ก็ยังเหลือใบเสมาที่ค่อนข้างสมบูรณ์ให้ชม  ใบเสมาสลักเป็นรูปทิพยบุคคลหรือเทวรูปในพระพุทธศาสนานิกายมหายานประทับยืนบนแท่นสี่เหลี่ยมด้านหลังมีพัดโบก และมีฉัตรอยู่ด้านบน
  2. รอยพระพุทธบาทจำลองไม่ทราบหลักฐานการสร้าง
  3. พระอังคารธาตุเป็นสิ่งที่ควรสักการบูชาได้ประดิษฐานไว้บนอุโบสถ
  4. พระพุทธรูปปางมารวิชัยรอบอุโบสถ 108 องค์
  5. ตำหนักหลวงปูวิริยะเมฆ
  6. พระนอนขนาดใหญ่ 1 องค์
  7. มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูป
  8. พระมหากัจจายนะ
  9. ศาลาเจ้าแม่กวนอิม
  10. ศาลาปฏิบัติธรรม


เชิญชม วิวสวยๆ ของวัดได้เลยนะครับ ตามลิ้งค์ด้านล่างได้เลยครับ

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

NASA พบหลักฐานน้ำพุบนดวงจันทร์ยูโรปา จากข้อมูลเก่า 20 ปีที่แล้ว

NASA พบหลักฐานน้ำพุบนดวงจันทร์ยูโรปาจากข้อมูลเก่า 20 ปีที่แล้ว

ดาวพฤหัส ดาวเคราะห์ลำดับที่ 5 แห่งระบบสุริยะจักรวาล ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นที่รู้จักกับมนุษย์มาตั้งแต่มีการจดบันทึกทางดาราศาสตร์ มันเป็นหนึ่งในดาวที่ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์มากที่สุด ตั้งแต่สมัยสุเมเรียน ( Sumerians ) และ บาบิโลเนียน ( Babylonians ) พวกเขาเฝ้ามองท้องฟ้าด้วยความสงสัยในทุกค่ำคืน และได้ขอพรกับดาวที่สว่างสุกใสดวงนี้ให้เป็นเทพเจ้าคุ้มครองผู้ปกปักษ์คุ้มครองเมืองแห่งนครบาบิโลน พวกเขาถึงขั้นทำนายตำแหน่งปรากฏของดาวพฤหัสบดีได้อย่างแม่นยำ และสังเกตต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน
แต่ความรู้และความเข้าใจในดาวพฤหัสก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ กาลิเลโอ กาลิเลอิ นักดาราศาสตร์ผู้โด่งดังได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องดูดาวพฤหัสในปี 1610 กาลิเลโอ เขาได้ค้นพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัสทั้งหมด 4 ดวง ได้แก่ ไอโอ, ยูโรปา, แกนิมีด และ คาลิสโต

การสำรวจดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี

แกนิมีต เป็นดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ ในขณะที่ยูโรปาเป็นดวงจันทร์ที่มีขนาดเล็กมากที่สุดใน 4 ดวง แน่นอนว่าการสำรวจดวงจันทร์ของดาวพฤหัสเป็นเรื่องยาก แม้จะใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังขยายมากที่สุดบนโลกก็ไม่สามารถเห็นรายละเอียดของมันได้เลย การสำรวจดวงจันทร์ของดาวพฤหัสนั้นจึงต้องพึ่งพายานอวกาศเดินทางไปสำรวจเพียงเท่านั้น
ยาน Pioneer 10 และ 11 เป็นยานอวกาศชุดแรกที่เดินทางไปสำรวจดาวพฤหัสในปี 1973 และ 1974 แต่มันไม่ได้มีโอกาสสำรวจดวงจันทร์ของดาวพฤหัส เนื่องจากเป็นการบินผ่าน (Flyby) เท่านั้น หลังจากนั้นในปี 1979 ยาน Voyager 1 และ 2 ได้ทำการบินผ่านดาวพฤหัสอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มันมีโอกาสได้ทำการหันอุปกรณ์ไปทำการสำรวจดวงจันทร์ของดาวพฤหัส ข้อมูลจาก Voyager 1 และ 2 ทำให้เกิดการค้นพบที่สำคัญ 2 การค้นพบ มันทำให้เรารู้ว่าบนดวงจันทร์ไอโอนั้นเป็นโลกแห่งภูเขาไฟ ส่วนดวงจันทร์ยูโรปานั้น ก็ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง

ยานกาลิเลโอ ยานลำแรกที่ได้โคจรรอบดาวพฤหัส

ในปี 1989 NASA ได้ทำการส่งยาน กาลิเลโอ (Galileo) เดินทางไปยังดาวพฤหัส มันได้ถูกปล่อยขึ้นจากกระสวยอวกาศแอตแลนติส ยานลำนี้ใช้เวลาเดินทางนานถึง 6 ปี ก่อนที่จะถึงดาวพฤหัสในปี 1995 ก่อนที่มันจะเดินทางถึงดาว มันยังได้ถ่ายภาพการพุ่งชนดาวพฤหัสของดาวหาง Shoemaker–Levy 9 ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของการสำรวจอวกาศ
หลังจากที่ยานกาลิเลโอเดินทางถึง ด้วยความที่มันเป็นยานแบบโคจร ทำให้มันมีโอกาสปรับเปลี่ยนวงโคจรให้สามารถบินโฉบดวงจันทร์ของดาวพฤหัสได้หลายต่อหลายครั้ง ในปี 1997 ยานกาลิเลโอได้รับการต่ออายุภารกิจ ยานกาลิเลโอได้ทำการบินผ่านดวงจันทร์ของดาวพฤหัส ยูโรปา และ ไอโอ ในระยะห่างจากพื้นผิวของดาวเพียงแค่ 180 กิโลเมตรเท่านั้น


ยานกาลิเลโอได้ทำการสำรวจต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงปี 2003 ก่อนที่มันจะจบชีวิตด้วยวงโคจรสุดท้ายของมันคือการลดระดับวงโคจรแล้วถูกดาวยักษ์แก๊สดวงนี้กลืนกินเข้าไป กลายเป็นส่วนหนึ่งของดาวพฤหัสตลอดกาล กาลิโลโอกลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่ถูกสังเวยเช่นนี้ ก่อนที่ในปี 2017 ที่ผ่านมา ยานแคสสินี ก็ได้สละชีพของมันแล้วกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของดาวเสาร์ตลอดกาลเช่นเดียวกัน
สำหรับเหตุผลที่ต้องทำการ Deorbit หรือลดระดับวงโคจรเข้าไปในตัวดาวก็เพื่อป้องกันยานอวกาศที่ไร้การควบคุมไปตกใส่ดวงจันทร์ของดาวพฤหัส ที่ถูกสงวนไว้สำหรับการสำรวจในอนาคต โดยเฉพาะดวงจันทร์ยูโรปาที่นักวิทยาศาสตร์ต่างสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะค้นพบสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ดวงนี้

21 ปีให้หลังกับการค้นพบใหม่

นับเป็นเวลากว่า 15 ปีหลังจากสัญญาณสุดท้ายที่ยานกาลิเลโอส่งมาให้เรา ปัจจุบันยานอวกาศ Juno สานต่อภารกิจการสำรวจดาวพฤหัส แต่ยาน Juno ถูกออกแบบมาให้สำรวจดาวพฤหัสเป็นหลัก ความรู้ส่วนมากที่เรารู้เกี่ยวกับดวงจันทร์ของดาวพฤหัส ยังมาจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ยานกาลิเลโอทิ้งไว้ให้
ความรู้จากยานมากพอที่จะทำให้เราสรุปคุณสมบัติของยูโรปาได้ว่า ยูโรปานั้นเป็นดวงจันทร์บริวารที่มีน้ำแข็งปกคลุม และมีความเป็นไปได้ที่จะมีทะเลอยู่ภายใต้ชั้นน้ำแข็งของมัน ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในดวงจันทร์ 3 ดวงที่ถูกจับตามองมากที่สุด ร่วมกับ ดวงจันทร์ไททัน และเอ็นซาราดัส ของดาวเสาร์
ในปี 2016 NASA ได้ออก Statement กล่าวถึงภาพถ่ายที่ถ่ายของดวงจันทร์ยูโรปาจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งจากภาพถ่ายทำให้เราเห็นอะไรบางอย่างปรากฏบริเวณทางตอนใต้ของดวงจันทร์ดวงนี้ ไม่ใช่แค่กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล แต่กล้องโทรทรรศน์จากภาคพื้นโลก ก็สามารถจับภาพของปรากฏการณ์นี้ได้เช่นกัน พอนำมาเปรียบเทียบกันนักวิทยาศาสตร์พบว่า สิ่งที่กล้องทั้งสองตัวถ่ายได้นี้คือสิ่งเดียวกัน ข้อมูลในตอนนั้นบ่งชี้ว่า ดวงจันทร์ยูโรปาของดาวพฤหัส มีบางสิ่งพุ่งออกมาจากผิวของดาวสูงถึง 160 กิโลเมตร
ภาพถ่ายจากยาน Galileo ในบริเวณสีเขียวคือจุดที่ Hubble จับภาพการปะทุได้ ส่วนภาพขวาคือแผนที่ความร้อน ที่มา – NASA, ESA, W. Sparks (STScI), USGS Astrogeology Science Center
2005 ยานแคสสินีได้เขย่าวงการวิทยาศาสตร์ด้วยข้อมูลที่บ่งบอกว่าดวงจันทร์เอ็นซาราดัสของดาวเสาร์นั้นมีน้ำพุพวงพุ่งออกมาจากใต้ผิวของดาว นั่นทำให้ยานแคสสินีถูกปรับเปลี่ยนภารกิจให้ทำการบินโฉบเพื่อศึกษาปรากฏการณ์น้ำพุร้อนบนเอ็นซาราดัสนี้หลายต่อหลายครั้ง หากแนวคิดเรื่องน้ำพุบนดวงจันทร์ยูโรปานั้นจริง นั่นจะทำให้เราสามารถ Confirm การมีอยู่ของปรากฏการณ์น้ำพุร้อนในระบบสุริยะของเราได้ถึง 2 ดวง

รู้ได้อย่างไรว่ามีน้ำพุร้อนอยู่

แม้ว่าภารกิจของกาลิเลโอจะจบไปแล้ว แต่ข้อมูลต่าง ๆ จากอุปกรณ์ของยานยังคงอยู่และเปิดให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้นำไปทำการวิเคราะห์เพื่อสร้างการค้นพบใหม่ ๆ
การค้นพบครั้งนี้เกิดจากในขณะที่ยานกาลิเลโอทำการบินผ่านในรอบการบินผ่านรอบที่ E12 ( กาลิเลโอบินผ่านยูโรปา 2 รอบ อีกรอบคือ E26 ในปี 2000) อุปกรณ์ Magnetometer ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจวัดอนุภาคมีประจุได้ค้นพบอะไรบาง โดยข้อมูลจากการบินผ่านรอบที่ E12 ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคมปี 1997 แสดงให้เราเห็นว่าอุปกรณ์ Magnetometer นี้วัดค่าได้อย่างผันผวนในขณะที่มันบินผ่านบริเวณบริเวณหนึ่ง ซึ่งถ้าดูจากกราฟ ค่าที่วัดได้จาก Magnetometer แทนด้วยเส้นสีดำ ส่วนเส้นสีแดงและเขียนนั้นเป็นข้อมูลจาก Simulation
ความผันผวนนี้สร้างข้อสงสัยให้กับนักวิทยาศาสตร์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และหนึ่งในสมมติฐานที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งก็คือ ยานกาลิเลโออาจจะบินผ่านน้ำพุร้อนของดวงจันทร์ยูโรปา (ซึ่งก็เป็นไปได้เนื่องจากภาพถ่ายของฮับเบิล บ่งชี้ว่ามีโอกาสที่มันจะมีอยู่จริง) นักวิทยาศาสตร์จึงได้เขียนโปรแกรมจำลองขึ้นมาเปรียบเทียบ ซึ่งข้อมูลที่ถูกนำมาสร้างเป็นโมเดลนี้ก็มาจากความรู้จากการบินผ่านน้ำพุร้อนบนดวงจันทร์เอ็นซาราดัสของยานแคสสินี เมื่อได้โมเดลนี้ขึ้นมานักวิทยาศาสตร์ก็ทำการนำกราฟที่ได้มาเทียบกัน

กราฟสีดำคือข้อมูลจากยาน สีแดงคือ Simulation หากว่ายานกาลิเลโอบินผ่านน้ำพุจริง ๆ ส่วนสีเขียวคือ Simulation หากว่าบริเวณนั้นไม่มีน้ำพุอยู่ ที่มา – Nature Astronomy
เส้นสีเขียว คือกราฟหากว่าไม่ใช่การบินผ่านน้ำพุ ส่วนเส้นสีแดงแทนสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากมีการบินผ่านน้ำพุ ผลที่ได้เมื่อนำกราฟมาเทียบกันก็คือ กราฟสีดำ (ข้อมูลจริง) มีความใกล้เคียงกับ Simulation ว่ายานกาลิเลโอได้บินผ่านน้ำพุมาก นั่นทำให้ข้อมูลนี้กลายเป็นหลักฐานยืนยันการมีอยู่จริงของน้ำพุบนดวงจันทร์ยูโรปา
ข้อมูลอีกชุดนึงที่ถูกนำมาสนับสนุนการค้นครั้งนี้มาจากอุปกรณ์  Plasma Wave Spectrometer บนยานกาลิเลโอ ซึ่งเทคนิคก็คล้ายกันคือการนำข้อมูลจริงที่ได้จากตัว Spectrometer บนยานมาวางเทียบกับ Simulation ของ Spectrometer ใน Model คอมพิวเตอร์ ที่เมื่อนำมาวางทับกันแล้วเราจะพบว่าข้อมูลที่ได้จากยานตรงกับใน Simulation
การค้นพบนี้นำโดยคุณ Xianzhe Jia นักวิทยาศาสตร์จาก University of Michigan ซึ่งเขาบอกว่าเทคนิคนี้เป็นการใช้อัลกอริทึมที่ทันสมัยมาก ๆ ประกอบกับคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำการเปรียบเทียบข้อมูลแบบนี้เมื่อ 20 ปีก่อน เนื่องจากคอมพิวเตอร์และความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างโมเดลเช่นนี้ขึ้นมา

อนาคตการสำรวจยูโรปา

นักวิทยาศาสตร์นั้นสนใจการสำรวจดวงจันทร์ยูโรปามานาน พวกเขาเรียกยูโรปาว่า Jupiter’s Icy Moon หรือดวงจันทราแช่แช็งแห่งดาวพฤหัส ภารกิจต่อไปที่จะถูกส่งไปสำรวจยูโรปาได้แก่ Europa Clipper ยานอวกาศขนาดใหญ่หนัก 6 ตันพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในดวงจันทร์ของดาวพฤหัสมากกว่าเคย
ภาพจำลองยาน Europa Clipper ที่มา – NASA/JPL
สำหรับยาน Europa Clipper นั้นถูกออกแบบให้บินโฉบใกล้กับดวงจันทร์ยูโรป้า 44 ครั้งในภารกิจหลัก ที่จุดใกล้ที่สุดนั้นมันจะอยู่ห่างจากพื้นผิวเพียง 25 กิโลเมตรเท่านั้น โดยบนยานจะมีอุปกรณ์ Sounding Radar ที่สามารถส่องลึกทะลวงลงไปใต้ผิวดาวได้ ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจมหาสมุทรใต้ผิวดาวได้ดียิ่งขึ้น
และอุปกรณ์หลักของภารกิจทั้ง 9 ชิ้นยังไม่ถูกเปลี่ยนแปลงแต่อย่างไร เนื่องจากมันถูกออกแบบมาเพื่อการสำรวจอย่างนี้อยู่แล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าเราจะไม่มียานลงจอดหรือ CubeSat ตามที่คาดการณ์กันไว้ (ณ ตอนนี้)
สรุปแล้วเรื่องราวนี้สร้างความน่าทึ่งให้กับเราถึง 2 เรื่องนอกจากจะเรื่องโอกาสที่ยูโรปาจะกลายเป็นดวงจันทร์ดวงที่ 2 ของระบบสุริยะที่มีน้ำพุร้อนแล้ว เรื่องราวอันน่าทึ่งของข้อมูลอายุกว่า 20 ปี ที่เมื่อนำมาใช้ร่วมกับวิธีการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นั้นก็ทำให้เกิดการค้นพบใหม่ ๆ ได้ และนี่ก็เพราะสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ไม่เคยสอนให้เราคิดคนเดียว มันสอนให้เราตั้งคำถาม หาข้อมูล ออกแบบวิธีการทดลอง และสุดท้ายก็ได้มาซึ่งคำตอบในที่สุด และคำตอบของคำถามที่เราสงสัยในวันนี้จะกลายเป็นข้อมูลที่ถูกส่งต่อรุ่นสู่รุ่นเพื่อสนับสนุนการค้นพบใหม่ ๆ ในอนาคต แม้จะเป็นภารกิจที่อายุนานกว่า 30 ปี คุณ Magaret Kivelson ผู้ควบคุมอุปกรณ์ Magnetometer บนยานกาลิเลโอ ณ ปัจจุบันก็มีอายุถึง 90 ปีแล้ว แต่สิ่งที่เธอทำนั้นยังถูกส่งต่อและมีความหมายให้กับนักดาราศาสตร์รุ่นใหม่ที่ได้สร้างการค้นพบครั้งนี้ และก็จะขอพูดอีกครั้งว่าวาทกรรม บนบ่าของยักษ์ใหญ่ของไอแซกนิวตันนั้นยังคงใช้ได้เสมอ และกลายเป็นกฏข้อสำคัญที่เตือนใจนักวิทยาศาสตร์จากรุ่นสู่รุ่น และสำคัญไม่แพ้กฏ 3 ข้อของนิวตันเลย
อ้างอิง
Enceladus: Ocean Moon