วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

คนสยามสร้างนครวัด พลิกตำรากว่าพันปี พร้อมหลักฐานและเหตุผล

คนสยามสร้างนครวัด (ย่อ)

โดย อาจารย์ ทวิช จิตรสมบูรณ์
สักสองปีก่อนผมได้เปิดประเด็นว่าคนสยามเป็นผู้สร้างนครวัด มีทั้งเสียงปรบมือและเสียงโห่พอกัน …วันนี้ผมขอสรุปตอกย้ำแสดงหลักฐาน เหตุผล หลักๆ ห้วนสั้นอีกครั้ง ตัดเรื่องหยุมหยิมออกไป ดังนี้
นักวิชาการไทยส่วนใหญ่ได้แต่เชื่อตามฝรั่งไปแบบเชื่องๆ ว่าเขมรเป็นผู้สร้างนครวัด แต่ความจริงแล้ว ขอมต่างหากเป็นคนสร้าง และขอมก็คือ สยามนี่แหละ ส่วนเขมรนั้นสมัยโน้นเป็นทาสขอม
หลักฐานสำคัญที่สุดคือบันทึก ๔๐ หน้าของโจวตากวน (ทูตการค้าชาวจีน) ที่ทำให้คำนวณได้ว่าสมัยก่อนเมืองพระนครมีคนชั้นปกครอง ๓ แสน และทาสและคนพื้นเมือง ๗ แสน โดยคนพื้นเมืองนั้นใช้เข็มก็ไม่เป็น ทอผ้าก็ไม่เป็น ส่วนคนสยามนั้นใช้เข็มเป็น ทอผ้าก็เป็น เลี้ยงหม่อนไหมก็เป็น
โดยชนชั้นปกครองนั้นคือขอม ซึ่งก็คือคนสยามนั่นเอง
ส่วนคนพื้นเมืองนั้นขนาดชุนผ้ายังไม่เป็นแล้วจะไปสร้างนครวัด นครธมใหญ่โตได้อย่างไร เอาความรู้เทคโนโลยีไปจากไหน
อยู่มาวันหนึ่งพวกทาสสบโอกาส ก็ทำการยึดอำนาจล้มล้างราชบัลลังก์ นำโดย ตระซอกประแอม (แตงหวาน) ที่ต่อมาสถาปนาตนเป็นกษัตริย์
นครวัด 

ที่สำคัญที่สุดคือ คำต่อท้ายกษัตริย์ “วรมัน” ทุกพระองค์ที่ผ่านมา ๖๐๐ ปีก็หายไปในปีนั้นนั่นเอง



จากนั้นไม่มี “วรมัน” อีกเลย แสดงชัดว่าเขมรเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับขอม
พงศาวดารฉบับแรกของเขมรที่ประพันธุ์โดยนักองเอง (ที่มาพึ่งบารมี ร. ๑ ของไทย) ก็ระบุตรงกันว่า ตระซอกประแอม 
คือต้นกำเนิดของคนเขมร แต่ภายหลังฝรั่งเศสมายุให้ปรับเปลี่ยนว่าต้นตระกูลคือ วรมัน ทั้งที่เขมรฆ่าวรมันตายเรียบ
 แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองว่า “สยามราบ” (หรือเสียมเรียบ ในวันนี้)
เสียม ไม่ได้ เรียบ หมดหรอก จากสามแสน อาจถูกฆ่าตายสัก ๕ หมื่น ที่เหลือรอดตายก็หนีมาก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา 
นำทัพโดยพระเจ้าอู่ทองนั่นแล
ยังถกเถียงกันอยู่มากว่าพระเจ้าอู่ทองคือใคร มาจากไหน ที่สอนกันมานานว่ามาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรีนั้น 
บัดนี้สรุปกันได้แล้วว่าผิด เพราะเมืองอู่ทองเป็นเมืองร้างมาก่อนหน้านี้แล้วสองร้อยปี อีกทั้งเป็นเมืองเล็ก
มีคนประมาณ ๕ หมื่นเท่านั้น แต่อยุธยาเริ่มต้นก็มีพลเมืองสามแสนแล้ว ถามว่าเอาคนสามแสนมาจากไหน
ในละแวกนั้นพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างเมืองอยู่ ๑๔ ปี พอสร้างเสร็จแทนที่จะเฉลิมฉลอง พักผ่อนไพร่พล 
กลับยกทัพไปตีเมืองพระนครทันที (เมืองเสียมเรียบ) ซึ่งผิดวิสัยมาก เพราะเป็นเมืองเล็กๆ สร้างใหม่
 ไฉนเลยจะกล้าไปตีเมืองใหญ่เก่าแก่ที่มีกองทัพเกรียงไกรเช่นพระนคร ซึ่งประเพณีการสงครามเดิมมานั้น
มีแต่เมืองเก่าใหญ่จะยกทัพมาถล่มเมืองสร้างใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นศูนย์อำนาจมาแข่งบารมีที่พระเจ้าอู่ทอง
ยกทัพไปตีเขมรนั้นเป็นเพราะทรงแค้นใจหนักที่อัดอั้นมานาน ๑๔ ปีไงเล่า ทรงต้องรีบเพราะทรงชราภาพมากแล้ว
 เกรงว่าจะล้างแค้นเขมรไม่ทันที่พวกมันฆ่าวรมันตายเรียบนั่นไงพอรบชนะเขมรเบ็ดเสร็จ ก็ทรงสร้างเมือง “อู่ทองมีชัย”
 (อุดงเมียนเชย ในวันนี้) เข้าใจว่าทรงตั้งชื่อนี้เพื่อข่มนาม “เสียมเรียบ” นั่นเอง เมืองนี้จำลองแบบไปจากอยุธยา
 และกลายเป็นเมืองหลวงเขมรนานถึง ๒๐๐ กว่าปี จนขณะนี้กลายเมืองมรดกโลกไปแล้ว
พระเจ้าอู่ทองเป็นขอม ดังนั้นเมื่อมาอยุธยาก็ทรงพูดภาษาขอม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคำราชาศัพท์ของเราวันนี้
จึงเต็มไปด้วยภาษาขอมและสันสกฤต เป็นเพราะสืบทอดมาจากภาษาพระเจ้าอู่ทองนี่เอง ส่วนเขมรเป็นทาสขอมมานาน
ก็ย่อมรับเอาภาษาขอมไปพูดด้วยเป็นธรรมดา อย่าลืมด้วยว่าภาษาขอมเองก็ยืมเอาคำ “ไต” ไปใช้มากพอกัน
เทคโนโลยีการตัดหิน ลากหิน สลักหินนั้นชาวขอมพิมาย ลพบุรี ได้ฝึกปรือมานานก่อนสร้างนครวัด นครธม
 เช่น ปราสาทหินพิมาย ก็สร้างก่อนนครวัด โดยตัดหินมาจากอ.สีคิ้ว แล้วลากไปอีก ๑๐๐ กม. เพื่อไปสร้างที่พิมาย
 คนเขมรเย็บผ้ายังไม่เป็นแล้วจะตัดลากยกหินก้อนมหึมาเหล่านี้เป็นหรือ

หลักฐานจากการสลักบนแผ่นหินระบุว่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่


เช่น สุริยวรมันที่ ๒ เป็นคนลพบุรี ชัยวรมันที่ ๕ เป็นคนพิมาย ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ชัยวรมันที่ ๗ ไม่ทราบว่ามาจากไหน
 ผมตอบให้เลยว่ามาจากพิมาย ด้วยหลักฐานผูกมัดมากหลายเกินจะกล่าวในที่นี้ ที่สำคัญคือทรงเป็นพุทธ สร้างนครธม
และเปลี่ยนชาวพระนครให้มาเป็นพุทธจนถึงวันนี้อันคำว่า “นครธม” นั้น นักวิชาการฝรั่งแปลกันแบบเซ่อๆ ว่า “เมืองใหญ่”
 เพราะเขาวิจัยกันทึ่มๆ ว่า ทม นั้นเป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่ ซึ่งนักวิชาการไทยก็เชื่อตามกันแบบงมงาย แต่ผมขอแย้งหัวชนฝาว่า ธม นั้นคือ ธมฺ ในภาษาบาลี ซึ่งคือ ธรรม ในภาษาสันสกฤตนั่นเอง ดังนั้นนครธม คือ นครธรรม นั่นเอง
มันเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จะสร้างวัดพุทธยักษ์แล้วตั้งชื่อซื้อบื้อว่า เมืองใหญ่ มันต้องเมืองธรรมแน่นอน
อีกทั้งพิมาย ลพบุรี นั้นเป็นพุทธที่ใช้บาลี ก็เลยต้องกลายเป็นนครธมฺ ภาพสลักนูนต่ำที่ทหารละโว้ และสยาม
ไปเดินสวนสนามต่อหน้าพระพักตร์นั้น สำคัญมาก คือ ทหารจากลพบุรี และสยามไปรบเพื่อกู้เมืองคืนจากพวก
แขกจามที่มายึดพระนครนั่นเอง จากนั้นก็เดินสวนสนามเฉลิมฉลองชัยชนะ ทหารลพบุรีมีวินัยมาก เดินหน้าตรง
ด้ามหอกทุกคนเรียงเป็นมุมแนวเดียวกัน แต่พอมาถึงกระบวนทหารสยาม มีคำสลักว่า “เนะ สยำกุก”
(ประมาณว่า นี่ไงกองทัพสยาม) แต่ปรากฏว่า หันหน้ากันคนละทาง ปลายหอกก็ระเกะกะ นักวิชาการฝรั่งว่า
 ทหารสยามไม่มีวินัย แต่ผมว่า……
..ผมว่า ทหารลพบุรี ไม่มีคนรู้จักไม่รู้จะทักใคร ส่วนทหารสยาม เป็นคนพื้นเมือง มีญาติมิตรมายืนดูมาก
ก็หันหน้าไปยิ้มแย้มทักทาย ก็เลยทำให้ดูไม่มีระเบียบ สรุปคือ สยำกุก เป็นคนพื้นเมืองพระนคร
พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ที่ถือกันว่าเป็นผู้ให้กำเนิดนครวัดนั้น ฝรั่งว่ามาจากชวา (แต่บางคน เช่น ชาร์ล ไฮแอม
 ก็ว่า มาจาก ชามา หรือ แขกจาม) สำหรับผมเสนอว่า มาจากไชยา (ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย)
ชื่อท่านก็บอกชัดๆ ว่า ไชยาวรมัน (พระผู้เป็นเจ้าจากเมืองไชยา) ศรีวิชัย กับทวาราวดี เป็นพี่น้องกัน มีไชยา
ศรีธรรมราช นครปฐม ลพบุรี พิมาย ต่อกันเป็นห่วงโซ่ แล้วให้กำเนิดนครวัดนั่นแล รวมทั้งช่วยปกป้องกอบกู้ยาม
สงครามกับแขกจามทางตอนใต้ของเวียดนาม
คำว่า วรมัน นักวิชาการฝรั่งก็ผิดอีก ไปแปลกันว่า โล่ (shield) แต่คำนี้ผมฟันธงว่าเป็นคำเดียวกับ พรหมมัน
 เพราะสยามเรานั้น พ กับ ว ใช้แทนกันได้ เช่น วิเศษ พิเศษ วิจิตร พิจิตรชื่อปราสาทต่างๆ ในนครวัด นครธม
 ยังมีร่องรอยภาษาสยามแทบทุกแห่ง เช่น พิมานอากาศ นาคพัน ปักษีจำกรง เชื้อสายเทวดา เสาเปรต พระรูป
ตาแก้ว ตาพรมหลักฐานเหตุผลรายละเอียดยังมีอีกมาก แต่วันนี้เกินโควตาหน้ากระดาษแล้ว ขอจบเพียงเท่านี้
พร้อมนี้ขอท้าโต้วาทีกับนักวิชาการโปรเขมรแบบซึ่งหน้าที่ไม่ลอบกัดกันแบบที่ผ่านมา ทั้งที่ผมเป็นวิศวกร
 ส่วนพวกท่านเป็น ดร. ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี กล้ารับคำท้าผมไหม ใครแพ้ให้ตัดหัวเสียประจานไว้
ที่หน้าประตูนครวัดและมีคลิปจากนักประวัติศาสตร์ที่ไม่ไช่ไทยและเขมร แต่เป็นจากพม่า
คงพอเป็นกลางและพอเชื่อถือได้

ขอบคุณข่าว  http://www.teeyaipakin.com

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ทำไมช้างศึกจึงล้มเหลว? จากมุมมองของ เนวิน ชิดชอบ



จับเข่าพูดคุยกับ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเวที โตโยต้า ไทยลีก ถึงมุมมองส่วนตัวกับความล้มเหลวของ ทีมชาติไทย ชุดลุยศึกเอเชียนเกมส์ 2018 ที่มีอันต้องตกรอบแรก
ทีมชาติไทยไม่สามารถเก็บชัยชนะได้เลยจากสามเกมในรอบแบ่งกลุ่ม

และสองคะแนนจากการเสมอ กาตาร์ และ บังกลาเทศ ไม่เพียงพอที่จะทำให้ช้างศึกผ่านเข้ารอบต่อไปในฐานะอันดับสามที่ดีที่สุดได้

มุมมองของนายใหญ่แห่งถิ่น ‘ปราสาทสายฟ้า’ จะมองเห็นอะไรบ้างจากผลงานของทีมชาติไทยในครั้งนี้ FOX Sports Thailand ขอพาคุณผู้ชมมาพูดคุยกับบุคคลสำคัญของวงการฟุตบอลในบ้านเรารายนี้กัน

ปัญหาอยู่ที่ตัวผู้ใหญ่

“ผมพูดตรงๆว่ามันจะไปโทษเด็กไม่ได้ มันต้องโทษผู้ใหญ่ เพราะเด็กไม่มีสิทธิ์แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้เล่นทีมชาติ”
“พอเรียกเด็กไปแล้ว พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์กำหนดแท็คติกหรือการฝึกซ้อม ก็ผู้ใหญ่อีกนั่นแหละ การเลือกตัวจริง ตัวสำรอง รวมไปถึงการแก้เกม การเปลี่ยนตัว ก็เป็นผู้ใหญ่อีกนั่นแหละเป็นคนกำหนด เพราะฉะนั้นผมอยากจะบอกแฟนบอลชาวไทยว่าเราอย่าไปโทษเด็ก”
“ผมในฐานะที่ทำทีมฟุตบอลมา 9 ปี และผมคิดว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด น่าจะเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย แต่ผมไม่เคยคิดว่าจะใช้วิธีการแบบนี้ในการจัดการทีมในเอเชียนเกมส์ มันจะเป็นวิถีทางของมืออาชีพในการจัดการ”
“ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ผู้เล่นบางคนเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีมในหัวตารางในไทยลีก ต้องไปนั่งเป็นตัวสำรองของผู้เล่นในตำแหน่งเดียวกัน ที่อยู่ในโซนตกชั้น ไม่มีทีมไหนในโลกนี้ที่จะทำฟุตบอลอาชีพด้วยวิธีการแบบนั้น แบบนี้อย่าโทษเด็ก ต้องโทษที่ผู้ใหญ่ ซึ่งหากปล่อยไว้แบบนี้่ต่อไป ศรัทธาแฟนบอลก็จะหายไปความน่าอับอายก็จะกลับที่ประเทศไทย”

ทีมชาติไทยต้องอยู่กับปัจจุบัน

“ไม่มีทีมไหนในโลกนี้ที่เขาเลือกตัวผู้เล่นที่เป็นตัวสำรองที่ไม่ได้ลงเล่นมาติดทีมชาติ แต่นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับทีมชาติไทย”
“ต้องพูดตรงๆว่าความรู้สึกในตอนนี้ ผมเข้าใจความรู้สึกแฟนบอลชาวไทย ทั้งที่เสียใจ ผิดหวัง อับอาย และเกือบจะหมดหวังกับฟุตบอลทีมชาติไทย ในสายตาผม ผมมองว่าฟุตบอลมันจะประสบความสำเร็จได้ มันต้องอยู่กับปัจจุบัน
“ทุกทีมในโลกเวลาที่เขาพิจารณาผู้เล่น ไม่ว่าสโมสรหรือทีมชาติ เขาดูจะประสิทธิภาพในปัจจุบัน ไม่ใช่ดูอดีตว่าใครเคยติดทีมชาติมาแล้ว ซึ่งปัญหาของทีมชาติในปัจจุบันก็คือ คนที่มีอำนาจในการเลือกตัวทีมชาติ แต่สิ่งที่เราเห็นความผิดพลาดในทีมชาติแทบจะทุกรุ่นก็คือการเรียกตัวที่ไม่ใช่ปัจจุบัน”
“เรายอมรับความจริงว่าฟุตบอลอาชีพในปัจจุบันพัฒนาขึ้นมาก โดยเฉพาะสถานการณ์ในตอนนี้ที่ตกชั้น 5 ทีม เพราะฉะนั้นผู้เล่นที่โค้ชหรือเจ้าของทีมเลือกลงสนามจะต้องเป็นผู้เล่นที่ท็อปฟอร์มมากที่สุด บางคนไม่ค่อยได้ลงเล่น หรือลงเล่นแค่ 5-10 นาทีแต่กลับถูกเรียกตัวติดทีมชาติไทย นี่เป็นทีมชาติที่แปลกที่สุดโลกที่มีการเรียกตัวผู้เล่นมาติดทีมชาติแบบนี้ และมันจะไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จ”
“ผมหวังในอนาคตที่เราจะไปเล่น เอเชียนคัพ หรือ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ผมหวังว่าผู้ที่มีอำนาจในการเลือกตัวจะเลือกตัวผู้เล่นในปัจจุบันการตกรอบเอเชียนเกมส์ ทุกคนเสียใจและอับอายกันหมด”

ทำมาหากินกับ ทีมชาติไทย? 

“อีกหนึ่งสิ่งผมไม่สบายใจอย่างยิ่ง และผมขอภาวนาว่าข้อมูลที่ผมได้มาจะไม่ใช่เรื่องจริง นั่นก็คือการทำมาหากินกับการเรียกตัวผู้เล่นทีมชาติไทย”
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้ฟุตบอลไทยเป็นมืออาชีพอย่างเต็มตัว นักเตะทุกคนแทบจะมีเอเย่นต์กันหมดแล้ว ผมดูมาเป็นปี คิดว่าการเรียกผู้เล่นทีมชาติกว่าครึ่ง ไม่ได้เรียกด้วยศักยภาพในปัจจุบัน แต่เป็นการเรียกด้วยเหตุผลอื่น”
“อาจเป็นการเรียกเพราะมีเอเย่นต์ไปล็อบบี้ผู้มีอำนาจในการเลือก ซึ่งมันทำให้ผลของฟุตบอลไทยมันพัง”
“สำหรับผม ผมลงทุนลงแรงมา 9 ปี ผมไม่อยากให้ฟุตบอลไทยต้องมาเป็นแบบนี้ และผมก็คิดว่าคนไทยและแฟนบอลไทยคงไม่มีใครยอมให้ใครมาทำมาหากินกับคำว่า ทีมชาติไทย ซึ่งเป็นเรื่องเลวร้ายและเสียหายกับวงการฟุตบอลมาก”
สิ่งที่ผมพูดในวันนี้ ผมพูดออกมาจากฐานะคนไทยคนหนึ่งที่อยู่กับฟุตบอลอาชีพและทำฟุตบอลมา”

เวลาเก็บตัวฝึกซ้อมน้อย?

“ผมอยากฝากไปยังผู้มีอำนาจว่าต่อไปนี้ ถ้าคุณคิดว่าอะไรที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ทีมชาติไทยกลับมาเป็นแนวหน้า เป็นเบอร์ 1 ของอาเซียน ในระยะเวลาอันสั้นที่จะถึงนี้ คุณจะต้องอยู่กับปัจจุบัน เรียกตัวผู้เล่นที่เล่นอยู่จริง”
“อย่าอ้างว่ามีเวลาในการเก็บตัวฝึกซ้อมน้อย ซึ่งทุกที่ในโลกเขาก็ใช้กติกาฟีฟ่า ปล่อยตัวผู้เล่นตามเกณฑ์ฟีฟ่า ซึ่งฟีฟ่าเขารู้จักฟุตบอลมากกว่าโค้ชฟุตบอลทีมชาติไทย เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เป็นโค้ชจะต้องเลือกผู้เล่นที่ฟิตและลงเล่นสม่ำเสมอ เพราะหากคุณไปเรียกนักเตะที่ไม่มีเกมลงเล่นมาเซ็ททีม ยังไงก็ไม่มีทางที่ทำให้ทีมมีประสิทธิภาพที่ดีได้ ยกตัวอย่างในฟุตบอลโลก ไม่มีชาติไหนที่เรียกตัวสำรองจากสโมสรไปติดทีมชาติ”
“อย่าไปบอกว่าอุบัติเหตุฟุตบอลมันเกิดขึ้นได้ เยอรมันตกรอบแรกฟุตบอลโลก มันไม่เกี่ยวกัน”
“ถ้าทำแล้ว ระบบการเล่นดี แท็กติกดี ถึงจะแพ้แต่ผมคิดว่าไม่มีแฟนบอลคนไหนไปตำหนิ แต่นี่แท็คติกก็ไม่ได้ ตำแหน่งก็ไม่ดี รูปทรงของทีมก็ไม่ได้ การเล่นกับทีมชาติไทย อย่างในศึกเอเชียนเกมส์ ที่ผ่านมา คู่แข่งสามารถรู้เลยว่าเราจะเอาใครเล่น จะเปลี่ยนตัวตอนไหน และจะเล่นอย่างไร เพราะฉะนั้นฟุตบอลหากมันเป็นอย่างนี้ คุณตายอย่างเดียว อันนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าฟุตบอลไทยมันต้องเปลี่ยนแปลงไป ปรับให้มันเป็นปัจจุบันให้ได้”

ต้องคุมให้อยู่

“ส่วนเรื่องความประพฤติของนักกีฬาก็โทษใครไม่ได้หรอก ก็ต้องเป็นผู้ใหญ่อีก คุณเลือกตัวผู้เล่นคุณต้องคุมได้ เพราะหากคุณเลือกแล้วคุณคุมไม่ได้คุณจะเลือกทำไม”
“ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ สมาคมฟุตบอลจะต้องหาวิธีตัดระบบเส้นสายในการเรียกตัว ตัดระบบผลประโยชน์กับการเรียกตัว เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการเรียกตัวผู้เล่นไปติดทีมชาติ มันทำให้ราคาค่าตัวมันเปลี่ยนแปลงไป”
“ผมไม่รู้ว่าบรรดาโค้ชในทีมชาติอยู่กับเอเย่นต์ไหนบ้าง มีเอเย่นต์กันหรือไม่ เพราะถ้าหากโค้ชมีเอเย่นต์และเอเย่นต์ก็มีนักฟุตบอล มันจะเกิดอะไรขึ้นกับการเรียกตัวนักฟุตบอลติดทีมชาติ อันนี้เป็นเรื่องที่สมาคมต้องหาวิธีป้องกันและจัดการ”

ไม่สงสัยก็ต้องสงสัย

“ขนาดโค้ชหรือเจ้าของสโมสรที่อยู่กับนักเตะทุกวัน เขายังไม่ส่งลงเล่น แต่โค้ชทีมชาติไปเรียกนักเตะมาเล่นได้อย่างไร”
“สำหรับผมแล้ว ไม่สงสัยก็ต้องสงสัย และผิดพลาดขึ้นมาแล้ว สำหรับผม สมควรโดนด่า”
“อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เรายังมีโอกาสเป็นแชมป์ ซูซูกิ คัพ ได้ แค่เพียงพิจารณาผู้เล่นทีมชาติไทยจากปัจจุบัน จากผู้เล่นที่เป็นตัวจริงในปัจจุบัน มันจะไม่มีปัญหาเรื่องความฟิต คุณสามารถกำหนดแท็กติกได้ แต่อย่าเรียกผู้เล่นที่ไม่ได้ลงสนามมาติดทีมชาติไทย”

เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 


ชมบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่นี่

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สสส. แนะกินข้าวหมากสวยใส-ขับถ่ายคล่อง อ้าววว ลุยเลย พี่น้อง




หมอแผนไทยแนะกินข้าวหมากช่วยให้สวยใส ไร้สิว ขับถ่ายดี ย้ำคนไทยที่รักสุขภาพควรหันกลับมากินอาหารตำรับไทยโบราณเป็นอาหารวิเศษต้านโรคได้
นายคมสัน ทินกร ณ อยุธยา แพทย์แผนไทย กล่าวว่า ขณะนี้คนเริ่มกลับมาสนใจภูมิปัญญาไทยมากขึ้น แต่การเรียนรู้เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ คงไม่อาจเรียนรู้ภูมิปัญญาไทยจำนวนมากที่สั่งสมมาอย่างยาวนานได้ แค่ภูมิปัญญาด้านอาหารเน้นกินดี ขับถ่ายง่าย บำรุงธาตุ ป้องกันโรคเรื้อรัง ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเรียนรู้หมด
อาหารมากประโยชน์ที่คนสมัยก่อนกินเล่นเพื่อช่วยเสริมระบบย่อย ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น อย่างข้าวหมาก ก็เป็นอาหารที่คนสมัยใหม่แทบไม่รู้จัก ทั้งที่ข้าวหมากเป็นอาหารที่คนโบราณคิดค้นกระบวนการหมักจนได้แบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ หรือโปรไบโอติก ที่นมเปรี้ยวในปัจจุบันนำมาเป็นจุดขาย
“แต่ข้าวหมากมีประโยชน์มากกว่า เพราะไม่ใช่แค่โปรไบโอติก ยังช่วยให้ร่างกายผลิตกรดอินทรีย์ช่วยในการขับถ่าย ทำให้กระดูกและเม็ดเลือดแข็งแรง ปรับความสมดุลให้กับแบคทีเรียในร่างกาย ช่วยให้การเผาผลาญปกติ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกำจัดสารก่อมะเร็ง กำจัดไวรัส ลดอาการอักเสบ แก้ท้องเสีย โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภูมิแพ้ โรคตับอักเสบ โรคตับ แผลสด แผลพุพอง แผลเน่าเปื่อย และยังอุดมไปด้วยธาตุสังกะสี ช่วยบำรุงเลือด ทำให้ผิวพรรณสดใส ไม่เป็นสิวฝ้า”
นายคมสันกล่าวต่อว่า คนปัจจุบันไม่ยอมใช้ภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษคิดไว้ให้ เพียงอาการปวดท้องประจำเดือน ภูมิปัญญาโบราณก็แก่ง่ายโดยไม่ต้องกินยา เพียงรู้จักปรับการกินอาหารเท่านั้น คือก่อนมีประจำเดือนให้เลือกกินอาหารพวกผัก-ผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น อาทิ แตงโม มะพร้าว ผักบุ้ง สายบัว เป็นต้น ทันทีที่ประจำเดือนมาให้หยุดอาหารฤทธิ์เย็นมาเป็นฤทธิ์ร้อน อาทิ ใบกะเพรา กระเทียม ขิง และวันสุดท้ายของประจำเดือนก็ให้กลับมากินอาหารฤทธิ์เย็นเช่นเดิมเพื่อเพิ่มเลือด การประคบแก้ปวดประจำเดือน คนปัจจุบันก็ทำผิดวิธี มักใช้ของร้อนประคบ ทั้งที่จริงต้องใช้ของเย็นประคบจึงจะแก้ปวดได้


ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 

ศาลคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น " ข้าวหมาก "



ศาลคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น




ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 8 : 6 ให้ถอดแป้งข้าวหมาก ออกจาก พ.ร.บ.สุราฯ ระบุละเมิดภูมิปัญญาชาวบ้าน และการประกอบอาชีพ ด้านผู้ผลิตเฮ ชี้อนาคตตลาดแป้งหมากสดใส แนะรัฐไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะมีการลักลอบนำไปทำเหล้าเถื่อน

นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ รองเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แถลงภายหลังการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่า ที่ประชุมคณะตุลาการเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่า พ.ร.บ.สุรา 2593 มาตรา 24 และ 26 ซึ่งมีข้อความว่า "เชื้อสุรา" ที่หมายความรวมถึง "แป้งข้าวหมัก" (แป้งข้าวหมาก) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 50

คดีดังกล่าว ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไวยวัฒน์ ได้รับอนุญาตให้ทำ และขายข้าวหมัก ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งการขอและต่อใบอนุญาต กำหนดให้ห้างหุ้นส่วนฯ ไวยวัฒน์ ต้องทำสัญญาไว้ต่อเจ้าพนักงานของกรรมสรรพสามิต ว่า จะต้องค้าแป้งข้าวหมักในสถานที่ที่ตั้งสำนักงานของห้างหุ้นส่วนที่ขอเท่า นั้น รวมทั้งจะต้องซื้อแป้งข้าวหมักจากร้าน หรือที่ทางการกำหนดไว้เท่านั้น และจะต้องลงบัญชีรับจ่ายแป้งข้าวหมักทุกครั้งที่มีการซื้อมาขายไป

ห้างหุ้นส่วน ไวยวัฒน์ เห็นว่า ระเบียบดังกล่าว ทำให้ห้างหุ้นส่วน ไวยวัฒน์ ไม่สามารถทำธุรกิจค้าแป้งข้าวหมักได้โดยเสรีทั่วประเทศ เพราะติดระเบียบกรมสรรพสามิต ว่าด้วยการทำและขายแป้งข้าวหมักพ.ศ. 2542

ห้างหุ้นส่วนฯ เห็นว่า รัฐธรรมนูญได้บัญญัติเรื่อง การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน ในการประกอบอาชีพ และอนุรักษ์ฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งการประกอบธุรกิจผลิตและขายแป้งข้าวหมาก ถือเป็นการขายภูมิปัญญาท้องถิ่น สมควรได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญด้วย จึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง

ต่อมาศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง ห้างหุ้นส่วน ไวยวัฒน์ จึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เป็นคำร้องที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ จึงได้ส่งเรื่องมายังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย โดยชะลอการพิจารณาคดีไว้ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เห็นว่า มาตรา 24 และ 26 ของพ.ร.บ.สุรา 2493 ข้อความที่ระบุว่า เชื้อสุรา หมายรวมถึงแป้งข้าวหมัก ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 และไม่สามารถใช้บังคับได้อีกต่อไป เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า มาตรา 50 บัญญัติให้บุคคลมีเสรีภาพในการประกอบกิจการประกอบอาชีพ และแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม การจำกัดเสรีภาพในการกระทำเหล่านี้จะกระทำไม่ได้

ซึ่งคำว่าเชื้อสุรานั้น เมื่อดูนิยามของความหมายใน มาตรา 4 ของ พ.ร.บ.สุรา ระบุให้หมายความว่า แป้งเชื้อสุรา แป้งหมัก หรือเชื้อใดๆ ซึ่งเมื่อหมักกับวัตถุ ของเหลวอื่นแล้ว สามารถทำให้เกิดแอลกอฮอล์ที่ใช้ทำสุราได้ก็ตาม แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า แป้งข้าวหมักมีลักษณะที่ไม่ใช่เชื้อสุราในตัวเอง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น อาหาร ยา

ดังนั้น การที่มาตรา 24 บัญญัติว่า ทำหรือขายเชื้อสุรา ที่มีความหมายรวมถึงแป้งข้าวหมัก จึงเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 50 รวมทั้งยังเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 46 ที่บัญญัติให้บุคคลซึ่งรวมตัวกับเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ย่อมมีสิทธิอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น และของชาติด้วย แต่เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีบทกฎหมายบัญญัติรองรับมาตราดังกล่าว จึงไม่สามารถอ้างได้ว่า มาตรา 24 ขัดหรือแย้งกับ มาตรา 46

รายงานข่าวแจ้งว่า ในระหว่างการประชุม คณะตุลาการได้หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับการผลิต และจำหน่ายยีสต์ ซึ่งถือว่าเป็นเชื้ออย่างหนึ่ง เมื่อนำมาหมักและก่อให้เกิดเป็นสุรา หรือที่เรียกว่าไวน์ได้เช่นกัน ซึ่งการจำหน่ายยีสต์ดังกล่าว ในขณะนี้ก็มีการเปิดจำหน่ายอย่างเสรี และจำหน่ายโดยทั่วไป ดังนั้น การจำกัดการผลิต และการจำหน่ายแป้งข้าวหมาก ตามที่พ.ร.บ.สุราระบุไว้ โดยอ้างว่าเหตุที่จะต้องควบคุมให้ขออนุญาต เพราะไม่ต้องการให้มีการนำไปผลิตสุราเถื่อน ซึ่งความเป็นจริงแล้ว หากจะเอาแป้งข้าวหมักไปผลิตเป็นสุรา ก็มีดีกรีเพียงแค่ 5 ดีกรีเท่านั้น ถือว่าน้อยมาก

ด้านนายสุวัฒน์ บุพฤทธิ์ เจ้าของห้างหุ้นส่วน ไวยวัฒน์ กล่าวว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้แล้ว คิดว่าน่าจะทำให้การผลิตอาหาร และยารักษาโรค ที่จะต้องใช้แป้งข้าวหมักเป็นส่วนผสม น่าจะดีขึ้นในอนาคตเพราะที่ผ่านมา ผู้ผลิตมีปัญหาในเรื่องการผลิตและจำหน่าย ที่ไม่สามารถจำหน่ายนอกพื้นที่ ที่ได้ยื่นขออนุญาตไว้

"ผมทราบว่าโรงงานที่ผลิตแป้งข้าวหมักทั่วประเทศ จนถึงขณะนี้มีอยู่ไม่ถึง 10 แห่ง สิ่งที่ทางราชการกลัวว่า หากอนุญาตให้จำหน่ายนอกพื้นที่ ที่ขออนุญาตได้ จะนำไปผลิตสุราเถื่อน เรื่องดังกล่าว คิดว่าคงจะไม่คุ้มต้นทุน เนื่องจากผู้ที่ต้องการผลิตสุราเถื่อน ไม่นิยมนำแป้งข้าวหมักมาใช้ในการผลิต เพราะจะดูแลยาก อีกทั้งตัวแป้งข้าวหมัก จะต้องควบคุมอุณหภูมิ ผู้ผลิตส่วนใหญ่จึงนิยมใช้ส่าเหล้า มาใช้ในการผลิตสุราเพราะง่ายกว่า" นายสุวัฒน์ กล่าว

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561

“พระอรหันต์อยู่ไหน”



ท่าน ว.วชิรเมธี เผยข้อคิด.. “พระอรหันต์อยู่ไหน” เรื่องเล่าที่อยากให้ลูกทุกคนได้อ่าน


วันที่ 12 ส.ค. เฟซบุ๊กเพจ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือท่าน ว.วชิรเมธี เผยเรื่องราวข้อคิด เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2561 ระบุว่า

“พระอรหันต์อยู่ไหน”

คนจีนมีสำนวนที่สอนให้กตัญญูรู้คุณอยู่สำนวนหนึ่ง
นั่นก็คือสำนวนที่ว่า
“ร้อยความดีความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง”
ส่วนชาวพุทธก็มีพุทธสุภาษิตว่า
“นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา” ซึ่งแปลว่า
“ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี”


มีเรื่องเล่าเก่าแก่แต่โบราณอยู่เรื่องหนึ่ง
ซึ่งผู้เขียนเคยฟังเมื่อนานมาแล้ว แต่ยังอยู่ในความทรงจำเสมอมา
จึงขอนำมาเล่าใหม่ในที่นี้อีกครั้งหนึ่ง
เพื่อร่วมรำลึกถึงพระคุณของแม่เนื่องในวันแม่แห่งชาติ
12 สิงหาคม 2561


“ชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นลูกกตัญญู
เขาอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ หลังหนึ่งกับแม่ผู้ชราภาพ
อยู่มาวันหนึ่ง มีเสียงเล่าลือว่า
มีพระอรหันต์รูปหนึ่งท่านเดินธุดงค์มาจากต่างเมือง
กล่าวกันว่า ท่านเป็นพระผู้ทรงวิทยาคุณ
เคยจำพรรษาและภาวนาอยู่ในถ้ำยาวนานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน
คราวนี้ท่านมาปักกลดอยู่บนยอดเขาเหนือถ้ำหลวงติดฝั่งพม่า
ชายหนุ่มได้ยินข่าวนี้ เขาดีใจมาก นอนหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน
เพราะเขาเคยใฝ่ฝันมาตลอดว่า
ในชีวิตนี้อยากกราบพระอรหันต์ตัวเป็นๆให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
พอรุ่งขึ้น เขาจึงขออนุญาตลาแม่ไปกราบพระอรหันต์บนยอดเขา
เมื่อแม่ผู้แก่ชราอนุญาตแล้ว
เขาจึงออกเดินทางรอนแรมไปในป่าเป็นเวลาหลายวัน
ในที่สุดก็ลุถึงยอดเขา แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย
เพราะมีคนมารอกราบท่านนับหมื่น


เขารอแล้วรอเล่า กว่าจะได้เข้ากราบก็เกือบเที่ยงคืน
เมื่อพาตัวเองไปนั่งอยู่ต่อหน้าหลวงปู่เขาจึงรีบกล่าวความในใจ
ว่าตนรู้สึกเป็นบุญเหลือเกินที่ได้มากราบพระอรหันต์ที่แท้จริงเสียที
หลังจากถูกหลอกมาหลายรอบแล้ว หมดเงินหมดทองไปก็ไม่น้อย
หลวงปู่ฟังแล้ว จึงตอบว่าท่านก็แค่พระธรรมดารูปหนึ่ง ไม่ใช่พระอรหันต์
อย่างที่คนเอาไปลือกันแต่อย่างใด


ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังมาก เขาจึงถามว่า ถ้าหากหลวงปู่ไม่ใช่พระอรหันต์แล้ว
ถ้าเช่นนั้น ใครกันที่เป็นพระอรหันต์ และท่านอยู่ที่ไหน
พระธุดงค์จึงว่า
“เจ้าหนูเอ๋ย พระอรหันต์น่ะมีอยู่ทุกที่นั่นแหละ
ท่านชอบใส่เสื้อเอาข้างในกลับมาไว้ข้างนอก ผมสีดอกเลา
และชอบสวมรองเท้ากลับข้าง…เจอที่ไหน คนนั้นไซร้คือพระอรหันต์ตัวจริง”
ฟังแล้วชายหนุ่มก็กราบลากลับบ้านด้วยความผิดหวัง
เขาบุกป่าฝ่าดงมาอีกเกือบอาทิตย์จึงลุถึงปากซอยเข้าบ้าน
เมื่อใกล้ถึงบ้านเขาตะโกนโวกเหวกหาแม่ด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
แม่ผู้ชราได้ยินว่าลูกกลับมาก็ดีใจเป็นหนักหนา
คว้าเสื้อเก่าๆ มาสวมอย่างรีบร้อน ข้างนอกจึงกลับเป็นข้างใน
ข้างในกลายเป็นข้างนอก
อารามรีบร้อน นางยังสวมรองเท้าผิดข้างอีกต่างหาก
จากนั้นก็รีบกุลีกุจอออกจากบ้านไปยืนรอรับลูกชาย
เมื่อสองแม่ลูกเจอกันหน้าบ้าน ลูกชายจึงอดขำทั้งน้ำตาไม่ได้
ที่เห็นแม่ของตัวเองแต่งตัวแปลกๆ พิกล
ใส่เสื้อก็ผิดข้าง สวมรองเท้าก็ผิดด้าน แต่แล้วพอสติกลับคืนมา
เขาก็อุทานกับตัวเองทั้งน้ำตาคลอหน่วยว่า

[​IMG]
[​IMG]

“เรานี่ช่างโง่จริงๆ
สู้ออกเดินทางไปเสาะแสวงหาพระอรหันต์ถึงในป่าในดง
ทั้งๆ ที่พระอรหันต์ตัวจริงท่านอยู่ในบ้านเดียวกันกับเรามาตลอด”

ชายหนุ่มก้มลงกราบเท้าแม่ และสัญญากับตัวเองว่า
แต่นี้ต่อไป เขาจะไม่ไปเสียเวลาเพื่อแสวงหาพระอรหันต์ที่ไหนอีกแล้ว!

(ว.วชิรเมธี)
12 สิงหาคม 2561


“พระอรหันต์อยู่ไหน”คนจีนมีสำนวนที่สอนให้กตัญญูรู้คุณอยู่สำนวนหนึ่งนั่นก็คือสำนวนที่ว่า…

โพสต์โดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี เมื่อ วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม 2018


ขอขอบคุณที่มา
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1437526

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สาวสวย ผู้โด่งดัง จากรายการ Naked And Afraid



หญิงสาวรายนี้ เธอมีชื่อว่า Melissa Miller  ผู้ที่โด่งดัง จากสารคดี  Naked And Afraid
ซึ่งตอนนี้เธอได้ กลายเป็นขวัญใจ จากแฟนคลับทั่วทุกมุมโลกไปแล้ว เธอทั้งสวย และหุ่นดี และเก่งต่อการเอาตัวรอดได้ทุกที่ ทั่วโลก เราไปดู รายละเอียดเกี่ยวกับเธอเลย 

Meet Melissa Miller from Discovery Channel’s Naked and Afraid

Melissa Miller is in a word, a badass. She’s more comfortable being uncomfortable than any other outdoors person I’ve ever met. She’s appeared on two seasons of Discovery Channel’s primitive survival challenge show, Naked and Afraid. First, she survived for three weeks in the Amazon Jungle with literally nothing but some fishing line, her knife, and a fire starter. Then on Naked and Afraid XL Melissa had to survive for forty days in the Selati Basin of South Africa.
Melissa Miller Naked and Afraid
Melissa Miller began practicing primitive skills in college. In addition to being a star on Naked and Afraid, she is an environmental educator in Michigan’s largest park system and an advisor to several outdoor gear companies. Melissa is skilled in primitive trapping, shelter making, fire making, and foraging. She’s also a traditional bowhunter. HuntTested was fortunate to have the chance to sit down and chat with Melissa.

HuntTested: First off, how did you tough it out all that time? After a week in elk camp, I’m ready for a real bed and a shower.

Melissa Miller: It’s all about attitude and staying positive, clearing your mentality and focusing on all the good things that happen. Going out I knew it was going to be miserable from the start, and you really don’t have any moment of true comfort being so exposed. In that type of situation, you just need to remain totally positive. If you are soaking wet you need to be grateful for the spot on your body that is still dry. It applies to many things in life if you maintain a good outlook and keep pushing forward eventually you will make it to the end.

HT: How long did it take to get past the fact that you’re naked with strangers?

MM: I was over the whole naked aspect within the first day, which honestly was really surprising for me. Before I had to undress for the show, I nearly cried because I am a modest person. People think that just because you’re on that show you’re some sort of nudist or exhibitionist which is 100% False.
Nudity is what makes it such a hard challenge and what makes it completely primitive. Clothing is your number one shelter from bugs, sunburn, and cold, many people don’t realize that. The naked aspect of the show is not to exploit people but rather to make it that much more difficult.

HT: What special training or preparation did you do to be able to survive with no food, water, gear or clothes in the wilderness for over a month?

MM: I immersed myself in the outdoors 24:7, I was out in the woods with only a knife learning how to prepare and survive in a minimalist way. My approach has always been less is more. I was doing everything to get ready mentally and physically. Some days I would build shelters on no food or water to get a feel for what that would be like.

HT: What are some of the biggest misconceptions people have about the show?

MM: There are two major ones. One is that the show uses nudity for exploitative purposes when that is not the case at all. The challenge is it is supposed to be completely primitive and not having clothing makes protection from the sun, bug bites, and the cold very hard to achieve. Not having shoes is the hardest part, go camp naked for a day and see how it feels.
Not everyone on the show is a nudist, I definitely am not. One of the most nerve-racking parts of the show for me was the nudity part. I did not want people to judge me for taking my clothes off on camera but I wanted them to understand the purpose behind it and how it created such a difficult challenge.
Second that it’s fake. It really sucks going through a challenge like that and working so hard to and then see that people think that the show is fake. We all have bug bite and thorn scars, fractured bones, and some get untreatable diseases. There is nothing fake about it.

HT: What was the hardest part of being in an extended wilderness survival situation?

MM: So many things to name that it’s really hard. Not once out there do you feel totally comfortable and that is why there are so many hard factors. Even if your belly is full, you’re still on the hard cold ground exposed to bugs. I have gained a new thankfulness for my bed and blankets because of that show.
Melissa Miller Archery
Melissa Miller shooting her bow

HT: Did surviving off the land change your view of the typical American diet?

MM: It totally changed my entire view on human diet. I started to realize that we eat so much garbage. By primitively surviving, I was able to see the way our ancestors ate. People living off the land, they don’t eat things in excess like we do.
Even the faintest taste of sugar was something pleasurable out there because you did not eat a lot of sugar naturally. It makes me think of all the sugar we pack in our diets every day. The same goes for tons of other things like processed grains, GMOs, hormones given to animals, the list goes on and on. It’s actually very alarming to think about.

HT: When you’re not required to be naked, what are a couple of your favorite lines of women’s outdoor apparel?

MM: Funny that you mention that, I have a very hard time finding good gear and styles that I like. I am not a pink-wearing type person; I like earth tones, flannel shirts, and work boots. Sadly, I typically find myself shopping and the men’s department a lot of the time to find the quality and look I want in things, especially boots.
I really like Columbia clothing, they are one of the first major outdoor brands I noticed to make quality outdoor clothing, but for a woman’s fit. I don’t try to brand myself but I always go with styles I like. If I like the way something looks I’ll get it, it doesn’t have to be a fancy brand name by any means.
Some brands charge way too much just because they have a name and logo on them. I don’t discriminate against Walmart or used items on eBay (yep). I love sifting through Goodwill because that is where you’ll find some pieces that were made when more quality was put into the construction of clothing. Adhering to a certain brand too much creates limits to what makes you and your style unique.
If I am going to represent a brand, it needs to be something I believe in. I’m an advisor for WeatherWool and they create outdoor garments completely from organic virgin wool on homegrown sources. Their garments cost a pretty penny but they’re worth it due to the time, labor, and hand craftsmanship that goes into their garments. Plus they’ll last a lifetime of use.
Oh and Danner boots, I purchased some Raptors (men’s boot only now) and have worn them so many times and put them through hell, but they still can be polished to look brand new.

HT: What survival skills do you think every hunter or outdoors person needs to know?

MM: Patience. It is something I still struggle with greatly. I can get pretty hyperactive and want things to happen right away but survival just takes so much patience and I needed to learn that.

HT: I know you’re a fan of custom knives and do a lot of work in the industry. What are a few of your favorite blades and what do you like about them?

MM: BOB Fieldcraft from Tops Knives – it is specifically designed for Bushcraft and survival uses. It was gifted to me by my boyfriend a few years ago. I took this knife with me on my 40-day challenge in South Africa and it served me very well. My favorite features on it include the spindles that you can use to create a friction fire with a bow drill. I also just like the all-around shape and feel of the knife, it gets everything I need to be done with ease.
Melissa Miller
Melissa with her BOB Fieldcraft Knife from TOPS Knives
I also like the Drop Point Renegade by Fiddleback Forge – I carry this knife with me everywhere, it is great for doing fine detail work with wood carvings. It utilizes a convex grind and one of my favorite blade materials, 01 tool steel. It has yet to need sharpening and it is the perfect size for basic needs. A big misconception about bushcraft blades is that they need to be big, but this one is around 3.5 inches blade length and that is perfect.
Melissa Miller
Melissa with her Drop Point Renegade from Fiddleback Forge
AEOF Afghan Gurkha Kukri from Nepal – these are an absolute steal, you can find them for around $70 on Amazon and boy do they pack a punch. If you want a great shelter building knife with a lot of swing and momentum behind it, this is the way to go. At nearly 2lbs, it gets the job done. Here is a video about the Gurkha Kukri.
Melissa Miller
AEOF Afghan Gurkha Kukri

HT: Outside of knives, what are some of your favorite items of outdoor gear?

MM: I try to be as minimal as possible and I really think that that is an important part of primitive survival, being able to survive with little to no gear. That is why I wanted to do the show Naked and Afraid so badly, it was just like this ultimate test.
As for essentials I always like to carry a fire starter with me. I recently got this fire rod called from a small company, Fatwood Firesteels, and I’m in love with it. The entire handle is made out of fatwood from a Pinetree. It also has another piece of fatwood on it. To those that do not know about fatwood, it is extremely flammable and the shavings can be used as a waterproof tinder or fire starter.
Fatwood Firesteel
I also am really big on my backpack. The Kelty daypack I have right how has amazing storage, organization and a quick access zipper on the side to get to the main compartment. It’s just a great backpack all around. Plus when my dog gets tired she fits right in it and I can take her everywhere I hike.
Melissa Millers Dog in her Kelty Pack

HT: You’re getting into traditional bowhunting, have you bowhunted since you’ve been back in the States?

MM: This is pretty crazy but I actually learned archery very quickly the summer before I went out to South Africa. Shooting 200 to 300 arrows a day helped me pick it up very quickly. I made an archery range in my backyard. I had only done some bowfishing before then so fish were always my main game.
This year I plan to get my hunting license and go out and see what I can hunt, but I have never hunted before my time in Africa. It is a game of patience, something I need to learn much better! I was also afraid to go out and try hunting for the first time because I wanted to make sure I could make a clean shot. The last thing I wanted to do was injure an animal and not be able to recover it. This upcoming hunting season I feel much more confident and can’t wait to test out all that I have learned in Africa and on the archery range, out in the field.
Melissa Miller shooting her bow on Naked and Afraid
Melissa Miller shooting her bow on Naked and Afraid

HT: How has your experience on the show made you a better hunter and outdoorswoman?

MM: So on the show, I was able to learn how to hunt from some of the greatest primitive hunters out there. It completely opened my eyes to the world of hunting and just how hard it truly is. Hunting in Africa was no joke, all of the animals out there are on the highest alert because there are so many large predators.
We were also surviving on a game reservation so those animals were very used to being hunted and knew how to elude us. I knew it was going to be difficult to hunt out there, but how difficult it was truly surprised me. I grazed the hairs off the back of an African bushbuck (antelope species) with my arrow but just missed it.
The animals there dip down the second they hear that string snap, and that was something I had to learn the hard way, but now I know how much lower I have to aim in order to get a clean shot off. Learning how to hunt in Africa was the best. It was extremely difficult and I will have a much richer experience hunting here in the States as a result of my experience.

HT: What question do you wish people would stop asking you?

MM: I do not mind answering questions about the show, in fact, I welcome them because they are always from people who are genuinely interested and I would never snap a question just because it had been asked so many times. I enjoy talking about the experience because it is something that has changed my life for the better.
Comments bug me more than anything, people who watch the show and make judgments about the actions on it. I try to remind people that they see only about that .07% of our experience on the TV show. There’s so much that goes on that people don’t see so a lot of times you will see viewers make negative comments (on the Facebook page especially) when they don’t see the whole picture. Or when people give someone a hard time about tapping out.
Being out there is so much harder than it actually looks. I completely understand what brings people to tap out. A part of you goes insane out there. The bugs especially play mind games with you when you feel like you are being eaten alive at night time.

HT: What’s next for you?

MM: I have a lot of things I plan to do. Expanding my work with outdoor and knife companies as well as social media influencing. Teaching people through my social media channels about survival, nature, and outdoor gear. My ultimate goal is to open up a store. There are possible aspirations to do more TV, but I’m still trying to decide if I want to go that route. I didn’t do the show to be on TV, I did it because I loved it.
If I could host an outdoor show that would be really cool, I think there is a huge lack of women in the outdoor world right now. For now, I am just continuing to grow my brand and determine the best route for me to take into the future. I don’t like to plan everything out too much; everyone says you need a five-year plan but I don’t necessarily agree with that 100%.
I live my life with passion and follow the things I love. Because I graduated with an elementary education degree, I was afraid to take a different route. Now, I am so happy that I did. I’m doing things that I love, things that are exciting and new to me. If we plan out our lives and end goals to specific guidelines, we let new and enriching opportunities pass us by.

HT: Thanks Melissa, it was great to have you as a guest on HuntTested.

Connect with Melissa: